“อลงกรณ์”เรียกร้องพรรคการเมืองยุติแตกแยกแบ่งขั้ว มุ่งแข่งนโยบายและผลงานในการเลือกตั้งครั้งหน้า

“อลงกรณ์”เรียกร้องพรรคการเมืองยุติแตกแยกแบ่งขั้ว มุ่งแข่งนโยบายและผลงานในการเลือกตั้งครั้งหน้า ยืนยันประชาธิปัตย์ก้าวข้ามความขัดแย้งแล้วพร้อมสร้างการเมืองวิถีใหม่ เตือนหากการเมืองยังแตกแยกแบ่งขั้วประเทศจะวิกฤติไม่รู้จบ

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้ภายหลังการสัมมนาหัวข้อ “โอกาส ความหวัง การเมืองวิถีใหม่”ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต วาระครบรอบ70ปีของ”นสพ.สยามรัฐ”โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองร่วมเสวนาโดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า การเมืองวิถีใหม่คือการเมืองที่สร้างสรรค์ เป็นการเมืองที่เป็นความหวัง แข่งขันด้วยวิสัยทัศน์ นโยบายและผลงาน โปร่งใส สุจรืตทุกระดับ ยึดอุดมการณ์ประชาธิปไตย ให้โอกาสคนทุกรุ่นที่มีประสบการณ์ ความรู้ความสามารถมาร่วมทำงานร่วมคิดร่วมขับเคลื่อนนโยบายที่ทำได้จริงและอยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อวันนี้และวันหน้าสามารถนำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งและสร้างจุดเปลี่ยนประเทศสู่อนาคตที่ดีกว่า


“การเลือกตั้งครั้งหน้าควรแข่งขันด้วยวิสัยทัศน์ นโยบายและผลงานตามแนวทางการเมืองวิถีใหม่ โดยต้องก้าวข้ามความขัดแย้งแตกแยกแบ่งขั้วทางการเมืองแบบสุดโต่งที่ทำให้ประเทศติดหล่มจมปลักวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทก์มากว่า20ปี การเลือกตั้งต้องสร้างโอกาสและความหวังให้กับประชาชนและต้องเป็นการเลือกตั้งที่สุจริตสะท้อนอำนาจของประชาชน “รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า การเลือกตั้งในปีหน้าจะแข่งขันกันอย่างเข้มข้นรุนแรงมากกว่าในอดีตเต็มไปด้วยความขัดแย้งแบ่งขั้วและใช้ปัจจัยทุกอย่างเพื่อชนะการเลือกตั้งซึ่งจะนำพาประเทศสู่วิกฤติไม่รู้จบ พรรคประชาธิปัตย์ยุคอุดมการณ์-ทันสมัยได้ถอยออกจากวังวนของความขัดแย้งสุดโต่ง2ขั้วมากว่า3ปีแล้ว

เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ มุ่งหน้าทำงานแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนด้วยแนวทาง”เศรษฐกิจเหนือการเมือง”โดยเฉพาะในยามที่ประเทศต้องเผชิญกับวิกฤติซ้อนวิกฤติคือการแพร่ระบาดของโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน หากเกิดวิกฤติการเมืองซ้ำเติมประเทศอีก ประชาชนจะอยู่อย่างไร เราต้องช่วยกันถอนฟืนออกจากกองไฟ คู่ขัดแย้ง2ขั้วควรถอยคนละก้าวให้โอกาสประเทศและประชาชนบ้างซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วไม่เอาการเมืองแบบแบ่งขั้วสุดโต่งไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งและเคารพความแตกต่างทางความคิดความเชื่อทางการเมืองยึดมั่นในระบบรัฐสภาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข.

Related posts